สินค้า 48 รายการ

ขออภัย ไม่มีสินค้าในคอลเลกชันนี้


มอลต์เบียร์ถือเป็นส่วนผสมหลักในการทำอาหารหรือเครื่องดื่มหลากหลายชนิด เนื่องจากมอลต์มีคุณสมบัติช่วยเปลี่ยนแป้งให้กลายเป็นน้ำตาลได้ง่าย อีกทั้งยังให้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์แก่อาหารและเครื่องดื่มนั้นๆ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จึงทำให้มอลต์เป็นวัตถุดิบที่เหมาะสำหรับการทำเบียร์ โดยมอลต์สามารถนำมาใช้ได้ในหลายรูปแบบ เช่น มอลต์แบบยังไม่แปรรูป (All-grain) และ มอลต์แบบแปรรูปแล้ว (มอลต์สกัด)

มอลต์เบียร์ คืออะไร?


มอลต์เป็นธัญพืชประเภทหนึ่งที่นิยมนำมาประกอบในเครื่องดื่มประเภทต่างๆ รวมถึงเบียร์ด้วยเช่นกัน เพราะคุณสมบัติหลักของมอลต์นั้นคือการเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลได้ง่ายๆ เพื่อนำไปเป็นอาหารให้ยีสต์นำไปย่อยอีกทอดหนึ่งเกิดเป็นแอลกอฮอล์ สำหรับมอลต์เบียร์นั้นจริงๆ แล้ว ก็คือมอลต์บาร์เลย์นั่นเอง

โดยมอลต์เบียร์จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

1.เบสมอลต์ (Base Malts)
เบสมอลต์ เป็น มอลต์ที่มีแรง (Diastatic Power) เปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลสูง ซึ่งเป็นหนึ่งในอาหารสำคัญของยีสต์ที่จะเปลี่ยนจากน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์ ปริมาณของการใช้เบสมอลต์ที่เหมาะสมเพื่อให้ได้น้ำตาลมากพอคือ 60%-100% ของปริมาณมอลต์ทั้งหมด โดยปัจจัยในการเลือกใช้เบสมอลต์ได้แก่ Moisture Content, Potential Extract, สี, Protein Content, และ Diastatic Power

2.คาราเมลมอลต์ (Caramel Malts)
เป็นมอลต์ที่ช่วยเพิ่มความหวานและสีให้กับเบียร์ คาราเมล์มอลต์ที่มีค่าสีอ่อนมักจะให้ความหวานกว่าคาราเมลมอลต์สีเข้ม ในทางกลับกันคาราเมลมอลต์สีเข้มจะให้ความหวาน ที่มาพร้อมกับความ โทสตี้ นัตตี้ นอกจากความหวานและสี คาราเมลมอลต์ ยังช่วยเรื่องบอดี้เบียร์อีกด้วย

3.สเปเชียลตี้มอลต์ (Specialty Malts)
เป็นมอลต์ประเภทที่ใช้เพื่อเสริมความเป็นเอกลักษณ์ให้กับเบียร์นั้น ๆ ในเรื่องสีและกลิ่น ด้วยการนำไปคั่วให้เข้มหรืออ่อนตามความต้องการในการใช้ และจะใช้ในปริมาณที่ไม่มาก

ตัวอย่างของมอลต์เบียร์แต่ละชนิด (Malts Barley)

อย่างที่ทราบกันว่า มอลต์เป็นตัวกำหนดสี กลิ่น รสชาติ บอดี้และปริมาณแอลกอฮอล์ของเบียร์ โดยเบียร์แต่ละสูตรมีปริมาณการใช้มอลต์ต่างกัน ส่งผลทำให้เบียร์แต่ละตัวมีลักษณะคาแรคเตอร์เป็นของตัวเอง เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นเรามาลองทำความรู้จักกับมอลต์เบียร์แต่ละตัวกัน

1. เพลเอลมอลต์ (Pale Ale Malt)
เพลเอลมอลต์ คือเบสมอลต์สุดฮิตที่เหมาะกับการผลิตเบียร์ทุกสไตล์ เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้เริ่มต้นทำเบียร์หน้าใหม่ โดยรสชาติของน้ำวอร์ทตัวนี้จะออกไปทางมอลต์ตี้ และมีความกลมกล่อมกว่า Pilsen 2RS
สีที่ได้จากมอลต์ตัวนี้คือเหลืองปนทอง

หมายเหตุ: (น้ำวอร์ท คือ รสน้ำตาลที่ได้หลังจากนำมอลต์ไปแช่น้ำอุณหภูมิ 64-66c)

2. พิลส์เนอร์มอลต์ หรือพิลเซน (Pilsner Malt/Pilsen)
พิลส์เนอร์มอลต์ หรือพิลเซน คือมอลต์ที่ให้สีอ่อนที่สุดในบรรดาเบสมอลต์จากเบลเยี่ยมทั้งหมด ทำให้น้ำวอร์ปทมีรสชาติหวานและมอลต์ตี้ ทำให้พิลส์เนอร์มอลต์เหมาะกับการทำ Single-Step Infusion หรือ Decoction Masing

3. เวียนนามอลต์ (Vienna Malt)
เวียนนามอลต์ เป็นเบสมอลต์ที่มีสีอยู่ตรงกลางระหว่างพิลเซน (Pilsen) และ เพลเอล (Pale Ale) ทำให้น้ำวอร์ทที่ได้จะมีรสชาติมอลต์ตี้ ติดกลิ่นทอฟฟี่และกาแฟ เวียนนามอลต์เป็นมอลต์ที่มีผลต่อบอดี้ของเบียร์อีกด้วย

4. คาราแคร์ มอลต์ (Cara Clair Malt)
คาราแคร์ มอลต์ เป็นคาราเมลมอลต์ที่มีผลต่อบอดี้ของเบียร์โดยตรงๆ และความคงตัวของโฟม แถมยังให้กลิ่นบิสกิตเบาๆ อีกด้วย

5. บิสกิตมอลต์ (Biscuit Malt)
บิสกิตมอลต์ คือสเปเชียลตี้มอลต์ชนิดหนึ่งที่ให้รสชาติโทสตี้กับน้ำวอร์ท จุดเด่ของมอลต์ตัวนี้คือกลิ่นที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับขนมปังปิ้งใหม่ๆ และมีความคล้ายบิสกิตอีกด้วย มอลต์ตัวทำให้น้ำวอร์ทมีสีน้ำตาลอ่อนไปถึงเข้ม

จะเห็นได้ว่ามอลต์เบียร์มีหลากหลายชนิดให้คนทำเบียร์ได้เลือกนำไปใช้พัฒนา หรือคิดค้นสูตรเบียร์ได้มากมายตามสไตล์ที่ชอบ และหากต้องการรู้จักคาแรคเตอร์ของมอลต์ให้มากขึ้น เราแนะนำให้ลองใช้มอลต์ไม่เกิน 2 ชนิด เพื่อให้รู้จักรสชาติน้ำวอร์ทที่ได้จากมอลต์ตัวนั้นๆ มากขึ้น และเมื่อคุณเข้าใจในส่วนผสมต่างๆ แล้ว ก็จะช่วยให้คุณสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างหลากหลาย